วันพุธที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2551

อัปแล้วจ้า

ตั้งแต่ปิดเทอมมานี้ไม่ได้อัปเลยเพราะขี้เกียจ เปลืองไฟแล้วก็เปลืองเนตด้วย
แต่ว่าก็มาทำไปงั้นๆแหละเพราะไม่อยากให้มันร้างเดี๋ยวเผื่อม.5ต้องใช้อีก
วันนี้เอาเรื่องที่ก็อบมาลง (ขี้เกียจพิมพ์เองแต่อยากเอามาลงเพื่อให้ดูเยอะดี)
รู้จักหนังสือเรื่องเอมม่ารึเปล่า เราเคยได้ยินชื่อ ดังมากๆ ที่เอามาลงก็อ่านไม่ออกหรอกแต่ว่าเผื่อมีใครอยากจะอ่าน
Emma is a comic novel by Jane Austen, first published in 1816, about the perils of misconstrued romance. The main character, Emma Woodhouse, is described in the opening paragraph as "handsome, clever, and rich" but is also rather spoiled. Prior to starting the novel, Austen wrote, "I am going to take a heroine whom no-one but myself will much like."
Plot summary
Emma Woodhouse is a young woman in Regency England. She lives with her father, a hypochondriac who is principally characterized by excessive concern for the health and safety of his loved ones. Emma's friend and only critic is the gentlemanly Mr. Knightley, her "neighbour" and brother of her sister's husband. As the novel opens, Emma has just attended the marriage of Miss Taylor, her old governess and best friend. Having introduced Miss Taylor to her future husband Mr Weston, Emma smugly takes credit for their marriage, and decides that she rather likes matchmaking.
Against Mr. Knightley's advice, Emma forges ahead with her new avocation; this time she tries to match her new friend Harriet Smith, a sweet but none-too-bright girl of seventeen --described as "the natural, i.e. illegitimate, daughter of somebody"-- to Mr. Elton, the local vicar. However, first she must persuade Miss Smith to refuse an advantageous marriage proposal from a respectable young farmer, Mr. Martin; which is done. But, soon her schemes go awry when Mr. Elton, a social climber of his own, declares he wants to marry Emma herself --not the poor and socially inferior Harriet. After Emma rejects Mr. Elton, he leaves for a while, going on holiday; and Harriet fancies herself heartbroken. Emma now tries to convince Harriet that Mr. Elton is beneath her after all.
An interesting development for Emma is the arrival in the neighbourhood of Frank Churchill, Mrs Weston's stepson, whom she has never met but in whom she has a long-standing interest. Also, Mr. Elton (who will reveal himself to be more and more arrogant and pompous as the story continues) returns with another newcomer - a vulgar wife who becomes part of Emma's social circle, even though the two women soon loathe each other. A third new character is Jane Fairfax, the reserved but beautiful niece of Emma's impoverished neighbour, the loquacious Miss Bates, another comical character who serves to lighten the scene. Jane, who is very accomplished musically, is Miss Bates's pride and joy; Emma, however, envies her talent and somewhat dislikes her. Jane had lived with Miss Bates until she was nine, but Colonel Campbell, a friend indebted to her father for seeing him through a life-threatening illness, then welcomed her into his own home, where she became fast friends with his daughter and received a first-rate education. On the marriage of Miss Campbell, Jane returned to her relations, ostensibly to regain her health and prepare to earn her living as a governess.
In her eagerness to find some sort of fault with Jane — and also to find something to amuse her in her pleasant but dull village — Emma indulges in the fantasy, shared with Frank, that Jane was an unwilling object of admiration for Miss Campbell's husband, Mr. Dixon, and that it is for this reason she has returned home, rather than going to Ireland to visit them. This suspicion is further fueled by the arrival of a piano for Jane from a mysterious, anonymous benefactor.
The plot becomes quite complex as Emma tries to make herself fall in love with Frank largely because everyone says they make a handsome couple. Emma ultimately decides, however, that he would suit Harriet better after an episode where Frank 'saves' her protégée from a band of Gypsies. During this time, Mrs. Weston wonders if Emma's old friend Mr Knightley might have taken a fancy to Jane. Emma promptly decides that she does not want Knightley to marry anyone, but rather than further exploring these feelings, she claims that she wants her nephew Henry to inherit the family property.
When Mr. Knightley scolds her for a thoughtless insult to Miss Bates, Emma is privately ashamed, and tries to atone. Around this time, she is further discomfited when she learns that Jane and Frank have been secretly engaged for almost a year. When Harriet confides that she thinks Mr. Knightley is in love with her, jealousy forces Emma to realize that she loves him herself. Shortly thereafter, Mr. Knightley proposes to Emma, Harriet reconciles with her young farmer, and everyone lives happily ever after.

วันอังคารที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

อะแฮ่ม 3

ไม่ได้เขียนมานาน เพราะงานเยอะมากๆ อืม ที่จริงก็ไม่เยอะเท่าไหร่แต่ว่าเราหมกงานต่างหาก
นิยายเรื่องที่อยากแนะนำเป็นเรื่องต่อไปก็เป็นแนววรรณกรรมเยาวชน คิดว่าบางคนเคยอ่านมาแล้ว เรื่องโรงงานช๊อคโกแล๊ต เป็นเรื่องเกี่ยวกับผู้ชายคนหนึ่งที่ต้องการจะหาผู้สืบทอดโดรงงานชอคของเขา โดยประกาศว่าใครที่กินผลิตภัณฑ์จากโรงงานของเขาไม่ว่าจะเป็นช๊อกโกแลต หมากฝรั่ง อมยิ้มแล้วเจอป้ายทองคำเชิญชวนให้เข้าไปชมโดรงงาน เด็กคนหนึ่ง(จำไม่ได้ว่าชขื่ออะไร เพราะอ่านหลายปีแล้ว)ยากจนและเก็บตังค์ได้ไปซื้อชอคโกแลตดันฟลุกเจอแผ่นป้ายทองคำ เขากับปู่มีโอกาศเข้าชมโรงงานพร้อมเด็กอีก 4 คนที่โชคดีเมื่อเข้าสไปในโรงงานพวกเขาก็ได้พบกับความลับที่น่าตื่นเต้นมากมาย และเหตุการณ์ต่างๆก็เกิดขึ้นเพื่อคัดเลือกเด็กที่จะมาเป็นผู้สืบทอดโรงงานนี้ สุดท้ายใครที่จะได้รับเลือกเหตูการณเป็นอย่างไรก็ไปหาอ่านกันเอาเองนะ เรื่อนงนี้นอกจากจะให้ความสนุกแล้วยังสอนข้อคิดอะไรๆหลายอย่าง เป็นหนังสือของสำนักพิมพ์ผีเสื้อ ดีมากเลยเพราะท้ายเล่มมักจะเขียนว่าถ้าหนังสือไม่ได้มาตราฐานแล้วก็จะชดใช้คืนพร้อมหนังสืออื่นฟรี 10 เล่ม ไม่รู้สมัยนี้ยังมีอยู่รึเปล่า

วันอังคารที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

ว่าด้วยเรื่องงานโฮม...ต่อ

พอเข้างานไปก็เจอคนมาเยอะแล้ว แล้วก็ถ่ายรูปกันแล้วก็กินกัน ถ่ายรูปเยอะมากๆเลย อาหารก็อร่อยดี แล้วก็เปิดเพลงเต้นกันตอนแรกๆเราไม่กล้าเต้นเพราะอายแต่ว่าตอนหลังๆก็เต้นสุกเหวี่ยงเหมือนกันบางคนไม่เห็นเพราะเต้นอยู่ริมๆ ยังอายๆอยู่ ตอนแรกว่าจะกลับซัก 2 ทุ่มแต่ 2 ทุ่ม งานยังไม่ออกรสอะไรเลย และแล้วสุดท้ายก็เลยกลับ 4 ทุ่ม ไม่อยากจะพูดว่าการไปงานนี้ความสนุกและประสบการณ์ที่ได้รับคุ้มค่ากับเงิน 500 บาทรึเปล่าเพราะคนที่ไม่ไปอาจไม่เข้าใจ อืม..... ขอให้ปีหน้าเพื่อนๆไปกันทุกคนนะ

ว่าด้วยเรื่องงานโฮม

สวัสดีผองเพื่อน งานที่เป็นที่พูดกันมาก่อนวันที่ 2 กุมภาก็คืองานโฮม เจอเพื่อนคนไหนก็ถามจะไปงานโฮมรึเปล่า ถ้าเพื่อนคนนั้นไปก็จะคุยแต่งชุดอะไร เป็รยังไง ไปยังไง นัดเจอกันที่โรงเรียนหรือห้าง ไปกี่โมง พล่ามไปเรื่อยๆ หรือถ้าเพื่อนคนนั้ไม่ไปก็จะถาม ทำไมไม่ไป แล้วสุดท้ายก็ลงด้วยการอ้อนวอน ขู่เข็ญ พูดพล่ามไปเรื่อยๆชักแม่นำทั้ง 5 ให้เพื่อนไป เรียกได้ว่าเป็นงานที่ได้รับความสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว หนึ่งใผลที่เพื่อนบางคนไม่ไปก็เพราะมันแพง ในความเห็นเรา เราก็ว่ามันแพง แต่พอไปแล้วก็สนุกดี มันเป็นประลบการณ์ที่ไม่เคยมีมาก่อนเพราะเราไม่เคยไปงานแบบนี้เลย วันนั้นวันเสาร์ที่ 2 ตอน 5 โมงเย็นแม่บอกให้รีบไปแต่งตัวเพราะกลัวรถติด เดี๋ยวเราจะไปสาย เราก็รีบมากเพราะไม่ฟังแม่มัวแต่ดูทีวี สุดท้ายก็รีบมากๆแล้วก็ลืมนั่นลืมนี่ ไปถึงงาน 6.15น. แต่นั่งรอกานต์ถึงทุ่มนึง ระหว่างนั่งรอก็คิดนู่นคิดนี่เช่น เขาจะเรื่มกินกันรึยังน้า แล้วก็เจอเพื่อนหลายคนเหมือนกัน จันทร์ มิ้ว อีฟชาย โอ้วแม่เจ้าจันทร์แต่งตัวได้เปรี้ยวมาก เห็นแล้วอึ้ง แล้วก็รอกานต์ต่อไป แล้วกานตก็โทรมาบอกว่าหาทางเข้าไม่ถูก อืม...สุดท้ายก็มาจนได้ มาทั้งครอบครัวเลย พ่อแม่น้องชาย(ที่น่ารัก)เห็นกานต์แล้วแบบว่าช็อค แต่งตังผู้หญิงมากท่าทางก็เป็นผู้หญิงไม่มีเค้าแบบที่โรงเรียนเลย พูดไม่ออกแต่จะแซวไปก็กลัวกานต์จะเขิน พอขึ้นลิฟต์ไปกานต์อายมากเรียกได้ว่าไม่อยากเข้างาน เราเลยต้องลากเข้าไป .....
ติดตามตอนต่อไป...
บ๊ายบาย

วันจันทร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

จับเข่าคุย

เมื่อคืนนี้เราดูจำเลยรักจบแล้วว่าจะนอนแต่พอดีดูรายการจับเข่าคุยแล้วก็เลยไม่นอนพอดูถึง5ทุ่มนั่นแหละจึงง่วง ไปนอน
เรื่องที่เอามาคุยวันนี้คือเรื่องของตชด ที่ออกข่าวกันทุกวันนี้แล้วมีผู้คนมากมายมาเรียกร้องความเป็นธรรม ถ้าเพื่อนๆคนไหนได้อ่านข่าวหรือฟังข่าวแล้วคงสะเทือนใจไม่น้อยว่ามีคนแบบนี้อยู่ในโลกด้วยหรือ ยัดยาบ้ายัดข้อหาให้คนบริสุทธิ์ต้องถูกทรมานทั้งทางร่างกายและจิตใจ ติดคุก ไม่คิดถึงใจของคนคนนั้นและครอบครัวญาติพี่น้องเพื่อนฝูงเลยว่าเขาจะเป็นอยู่อย่างไรมีความรู้สึกอย่างไร ชีวิตของเขาทั้งชีวิตต้องมาตดเป็นเหยื่อพวกคนเลวที่ต้องการเพียงแค่อำนาจและเงิน เราดูแล้วแทบร้องไห้ ว่านี่หรือคนที่เรียกตนเองว่าผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ กระทำตัวไม่ต่างจากมาเฟียในเครื่องแบบตำรวจเลย อ่านข่างเรื่องนี้แล้วก็อยากเตือนเพื่อนๆนะว่าสังคมไทยสมัยนี้น่ากลัวจริงๆไปไหนมาไหนก็ต้องระวังตัวกันหน่อย ไม่ว่าทั้งผู้หญิงหรือว่าผู้ชาย ที่พ่อแม่เป็นห่วง้ราน่ะดีแล้ว อย่าดื้อมากนักท่านอาบน้ำร้อนมาก่อนย่อมรู้จักอะไรๆดีกว่า มีคนมาห่วงเราดีกว่าไม่มีนะ

รูปงานโฮม (เอามาจากขิม)

วันอาทิตย์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

About Me and My Dogs เรื่องเก่าเล่า(ที่)ใหม่

บ้านของฉัน ที่บ้านของข้าพเจ้ามีพ่อ แม่ พี่ชาย น้องชาย พี่สาวและตัวข้าพเจ้าเอง และบ้านเรายังเลี้ยงสุนัขไว้อีก 5 ตัวด้วยกัน ข้าพเจ้าชอบสุนัขมากจนคิดว่ามันเป็นส่วนหนึ่ง​ของชีวิตเลย บ้านของข้าพเจ้าเลี้ยงสุนัขไว้ด้วยกัน 5 ตัวแต่ละตัวก็มีอายุแตกต่างกันไปเพราะว่าไม่ไ​ด้เอาเลี้ยงพร้อมกัน ต่อไปนี้ก็จะเล่าถึงสุนัขแต่ละตัวที่บ้านข้าพ​เจ้า รุ่นแรกที่มาเป็นอะไรที่ไม่ตั้งใจจะเลี้ยงมาก พอดีมันทั้งสองตัวเป็นสุนัขของคนที่เขามาสร้า​งบ้านให้พอสร้างเสร็จมันก็ไม่ยอมกลับไปกับเขา เราก็เลยต้องเลี้ยงเอาไว้ แม่ของข้าพเจ้าเป็นคนตั้งชื่อให้มันเอง ชื่อทองหยิบ กับทองหยอด ทั้งทองหยิบและทองหยอดเป็นสุนัขพันธุ์ไทยพื้น​บ้าน ขนสีขาวสะอาด และจมูกเผือก(สีเป็นแบบสีเผือก) พ่อบอกว่า ทองหยิบเป็นพ่อของทองหยอด ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นสุนัขคู่แรกที่ได้มาด้วยค​วามบังเอิญจริงๆ ต่อมาสุนัขที่บ้านของลุงของข้าพเจ้าออกลูกมาท​ั้งหมด 8 ตัว ซึ่งเป็นตัวเมียหรือตัวผู้จำนวนเท่าใดก็ไม่ทร​าบ แต่ลุงให้มา 2 ตัวซึ่งตอนแรกเป็นตัวผุ้ตัวตัวเมียตัว แต่พ่อไม่อยากให้มีลูกหมาเกิดขึ้นในบ้าน คงเป็นเพราะขี้เกียจเลี้ยงเยอะ ก็เลยเปลี่ยนเป็นตัวผู้ทั้ง 2 ตัว พีสาวตั้งชื่อให้มันว่า ลูกรัง กับลูกหิน ทั้งสองตัวนี้เป้นสุนัขพันธุ์ไทย ลูกรังตัวสีน้ำตาลเหมือนดินลูกรัง เลยได้ชื่อนี้ มันเป็นสุนัขตัวที่คลอดออกมาเป็นตัวที่ 2 ส่วนลูกหิน เป็นสุนัขขนสีขาว และคลอดออกมาเป็นตัวที่ 7 ตอนที่มันยังเล็กอยู่ข้าพเจ้าเลี้ยงมันไว้ในก​รง แต่ไม่นานมันทั้งสองก็สามัคคีกันกัดลวดกรงขาด ( เก่งจริงๆ ) พอโตขึ้นย่างเข้าสู่วัยหนุ่ม มันก็เที่ยววิ่งไล่กัดคนแปลกหน้าที่เดินผ่านห​น้าบ้าน พ่อโมโหเลยไม่ให้มันออกไปข้างนอกบ้านอีก บ้านเราอยู่อย่างสงบสันติสุขเรื่อยมา จนกระทั่งวันหนึ่งเหตุการณ์ที่เศร้าที่สุดก็เ​กิดขึ้นทองหยอดนอนสิ้นใจตายอยู่ใต้ท้องรถ ข้าพเจ้าเสียใจมากจนเรียนไม่รู้เรื่องตลอดทั้​งวันนั้น อาจเป็นเพราะพ่อสงสารข้าพเจ้ามั้งเพราะอีกไม่​กี่เดือนถัดมาข้าพเจ้าก็ได้ลูกหมาคู่ใหม่มา คราวนี้เป็นตัวเมียกับตัวผู้ซะด้วย ข้าพเจ้าเป็นคนตั้งชื่อให้มันเอง คิดอยู่นานอยากหาชื่อแบบหรูหราให้แต่สุดท้ายก​็ได้ชื่อแบบธรรมดา คือ ถั่วเขียวกับถั่วแดง ถั่วเขียวเป็นสุนัขพันธุ์ไทยหลังอานใบโพธิ์ เพศผู้ สีสวาท หางดาบเป็นพวง รูปร่างน่ารักดูดีมาก กริยาท่าทางเรียบร้อย จะกินจะนอนเป็นระเบียบเหมือนพวกชาววัง ถั่วแดงเป็นสุนัขพันธุ์ไทยหลังอานใบโพธิ์ สีสวาท เพศเมีย ท่าทางโก๊ะ ดูตลกดี มันชอบยิ้มและกระดิกหาง ไม่เรียบร้อยเหมือนถั่วเขียว เป็นเพราะคอกที่มันมาเขาฝึกมาต่างกัน พ่อจับลูกหิน ลูกรัง ทองหยิบทำหมันหมดแล้วเพราะอยากห็ลุกหมาที่เกิ​ดมาเป็นแบบเดียวกันหมด ต่อมาเมื่อถั่วแดงโตขึ้น ผสมพันธุ์แล้ว ตั้งท้อง มันก็คลอดลูก ออกมาทั้งหมด 9 ตัว แต่ส่าตายไปเสีย 1 ตัว เป้นตัวผู้ที่คลอดตัวแรกซะด้วย ก็เลยเหลือแค่ 8 ตัว เป็นตัวผู้ 4 ตัว ตัวเมียอีก 4 ตัว ทั้งหมดเป็นสุนัขพันธุ์ไทยหลังอานใบโพธิ์ สีสวาท เหมือนกันหมดเลย น่ารักมากๆ ข้าพเจ้ามีความสุขที่สุดเลย วันๆแทบไม่ทำอะไรนอกจากคอยดูแลลูกหมา แต่สุดท้ายก็ยกลูกหมาที่น่ารักเหล่านั้นให้เข​าไปหมด พ่อบอกว่า 5 ตัวก็หนักแล้วมากกว่านี้คงไม่ไหว ว้า เสียดาย แต่ก็นั่นแหละเป็นไปตามยถากรรมจนปัจจุบันนี้ข​้าพเจ้าก็ยังมีสุนัขแสนดีอีก 5 ตัวไว้คอยเป็นเพื่อนเท่านี้ก็มีความสุขแล้ว
แปลเป็นภาษาอังกฤษด้วย
ขอบอกอ่านแล้ว ห้ามพูดเรื่องการใช้ภาษาที่แสนจะห่วยของเรานะ
ขนาดอีเมลล์เรายังลืมเติมเอสที่เลิฟเลย


At my home In my house, there are my dad , my mom , my older brother , my younger brother , my older sister , me an my five dogs. I love dog very much. Dogs are a part of my life. Each dog is at the different age and came from different place. The first couple used to belong to the constructor who built our house. When the work finished , the dogs didn’t go back with their master ,so we had to adopt them. One was named Thongyip. The other was named Thongyod. Both were named by my mom. They are white Thai dogs. The second couple was from my uncle. His dog have 8 puppies. Then he gave my dad 2 puppies. He gave a male and a female. But my dad want 2 males ,so I got new puppies. My sister named them. One is brown and named Luklung. It was the second puppy. The other is white and named Lukhin. It was the seventh puppy. They were naughty and clever. We lived happily until bad situation occurred. Thonyod died. I felt sad ,so my dad bought me a couple of dogs. They both were grey and Lung-Arn spicies. They are a male and a female. Males’ name is Taukeaw. Females’ name is Taudang. Their names were created by me. When Taudang grew , it had 8 puppies. The all puppies were grey and Lung-Arn spicies. When they grew , My dad gave then to his friends because we couldn’t adopt it all. I has been sad for it but it isn’t as important as that I have my 5 friends , my dogs.